สำนักข่าวเอ็นบีซี รายงานจากเมืองมิชาวากา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ว่า ศาลรัฐอินเดียนา ตัดสินเมื่อวันที่ 30 มี.ค. ให้ลงโทษจำคุก 30 ปี น.ส.ปุรวี ปาเตล หญิงชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดีย วัย 33 ปี ในข้อหาละเลยทอดทิ้งทารก หลังเธอแท้งบุตรและนำทารกไปทิ้งในถังขยะ ซึ่งเป็นอาชญากรรมร้ายแรง โดยศาลลดโทษในข้อหานี้ให้ 10 ปี เหลือ 20 ปี และยังพิพากษาโทษจำคุก 6 ปี ในข้อหาทำแท้ง ซึ่งจะรับโทษไปพร้อมกัน
น.ส.ปาเตล ถูกจับกุมเมื่อเดือน ก.ค. 2556 หลังเธอเข้ารับการรักษาตัวที่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลเซนต์โจเซฟด้วยอาการตกเลือดรุนแรง ซึ่งในเบื้องต้นเธอยืนกรานปฏิเสธ ก่อนจะยอมรับกับแพทย์ว่า เธอแท้งบุตรคลอดทารกที่เสียชีวิตออกมา ก่อนจะนำทารกนั้นไปทิ้งถังขยะ โดยเธอนับเป็นรายแรกที่ถูกจับกุม ตั้งข้อหา และถูกตัดสินลงโทษจากความผิดฐานยุติการตั้งครรภ์
ในการพิจารณาคดี ทนายของเธอพยายามชี้แจงว่าเธอให้กำเนิดทารกที่เสียชีวิตแล้ว ขณะที่อัยการยืนยันว่าทารกที่มีอายุ 25 สัปดาห์ของเธอ เสียชีวิตหลังคลอดออกมาเพียงไม่นาน และยังอ้างหลักฐานที่แสดงว่าจำเลยสั่งซื้อยาขับเลือดผ่านทางอินเตอร์เน็ต และมีความพยายามจะยุติการตั้งครรภ์ของตัวเอง ขณะที่หลักฐานการตรวจสารพิษไม่ระบุว่ามียาหรือสารเคมีดังกล่าวอยู่ในร่างกายเธอ
ทนายจำเลยพยายามแย้งว่า อัยการไม่สามารถกล่าวหาเธอฐานฆ่าทารกหรือทำแท้ง และทอดทิ้งทารกที่ยังมีชีวิตอยู่ ไปพร้อมๆ กันได้ เนื่องจากมีความขัดแย้งกันอยู่ แต่อัยการชี้แจงว่า เธอยังคงมีความผิดฐานทำแท้ง แม้ว่าเด็กที่คลอดออกมาจะยังไม่เสียชีวิตก็ตาม โดยผู้พิพากษาเอลิซาเบธ เฮอร์ลีย์ ปฏิเสธคำแก้ต่างของจำเลย ขณะเดียวกันคณะลูกขุนก็ลงความเห็นว่า จำเลยมีความผิดจริงทั้ง 2 ข้อหา เมื่อต้นเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งผู้พิพากษากล่าวในการพิจารณาโทษว่า น.ส.ปาเตล มีสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะยุติการตั้งครรภ์ของตน แต่เธอกลับเลือกใช้วิธีการที่ผิดกฎหมาย และยังนำทารกไปทิ้งในถังขยะเพื่อให้แน่ใจว่าเสียชีวิตด้วย
อย่างไรก็ตาม ทนายจำเลยยืนยันจะอุทธรณ์คำตัดสิน ขณะที่นักเคลื่อนไหวกลุ่มสิทธิเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินดังกล่าว โดยระบุว่ากฎหมายคุ้มครองหญิงตั้งครรภ์กำลังถูกใช้ไปในทางที่ไม่ถูกต้อง ทั้งที่ควรได้รับการคุ้มครองแต่กลับกลายเป็นบทลงโทษ โดยยกตัวอย่างเทียบเคียงกรณีของ น.ส.เป่ย เป่ย ชวย หญิงชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ที่คุมขังนานนับปีก่อนข้อหาทำแท้งข้อเธอจะตกไปจากข้อตกลงต่อรอง โดยมีรายงานว่า หญิงสาวมีอาการซึมเศร้าและพยายามฆ่าตัวตายระหว่างตั้งครรภ์ จึงเป็นเหตุให้ทารกในครรภ์เสียชีวิต
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญบางกลุ่ม พยายามชี้ให้เห็นถึงปัจจัยแวดล้อมที่บีบบังคับให้หญิงกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันจนนำไปสู่การตัดสินใจดังกล่าว ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยด้านการเข้าถึงสิทธิพื้นฐาน หรือแม้กระทั่งวัฒนธรรมความเชื่อดั้งเดิมของแต่ละครอบครัวที่มีต่อการตั้งครรภ์นอกสมรส.
ที่มา: http://www.dailynews.co.th/
ที่มา: http://www.dailynews.co.th/

0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น